หากครอบครัวคุณเป็นครอบครัวหนึ่งที่ต้องพึ่ง เงินเดือน ในการดำรงชีพล่ะก็ ในยุคข้าวยากหมากแพงนี้ การบริหารเงินเดือนที่ได้มาให้ดีอาจเป็นศาสตร์เพื่อความอยู่รอดที่มีประโยชน์ที่สุดก็เป็นได้ค่ะ แต่เราจะบริหารเงินได้ของครอบครัวก้อนนี้กันอย่างไร ลองมาดูกันเลยค่ะ
1.ลดค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับยานพาหนะ
หากคุณเป็นครอบครัวที่ชอบเดินทางท่องเที่ยว ขับรถไปต่างจังหวัด สูดอากาศดีๆ แต่พอกลับมาถึงบ้านเติมน้ำมันลมแทบจับ เพราะมิเตอร์บอกราคาเลยสองพันบาทไปแล้ว คงต้องวางแผนใหม่ อาจลดการเที่ยวของครอบครัวลง หรือหากมีโอกาสได้ไป ก็วางแผนให้ดี จะได้ไม่ขับรถวนไปวนมา หรือหลงทางให้เปลืองน้ำมัน และไปทั้งทีก็เที่ยวให้คุ้ม บางครอบครัวใช้วิธีถ่ายภาพกลับมาเยอะๆ คิดถึงก็เปิดภาพดูในคอมพิวเตอร์แทนก็ได้
อย่างไรก็ดี เราก็เข้าใจหัวอกพ่อแม่ค่ะ บางท่านไม่ได้ชอบเที่ยว แต่ต้องใช้รถประจำ เพราะต้องรับส่งลูก ซึ่งจะให้หันมาใช้บริการจากรถสาธารณะของประเทศนี้ก็ไม่ไหวอย่างแรง (พ่อแม่ทุกท่านนึกภาพออกอยู่แล้วค่ะว่าเป็นอย่างไร ทั้งปาดซ้ายแซงขวา นึกจะไม่จอดป้ายนี้ก็ไม่จอด ฯลฯ) แต่ถ้าหากสามารถลดการใช้รถใช้ถนนในแต่ละวันลงได้ก็ดีต่อค่าน้ำมันที่พ่อแม่ต้องจ่ายเหมือนกัน แต่ละครอบครัวอาจต้องหาวิธีบริหารให้เหมาะสมเพิ่มเติมค่ะ
2.บริหารการชอปปิ้ง
ทีมงานค่อนข้างเชื่อว่า พ่อแม่ที่มีลูกนั้น โดยมากแล้วจะใช้จ่ายเงินอย่างระมัดระวังอยู่แล้ว แต่อะไรก็ตามที่ต้องระมัดระวัง นานเข้าก็จะกลายเป็นความอึดอัด ซึ่งเมื่อสะสมจนถึงจุดหนึ่ง มันอาจระเบิดได้ และทำให้คุณกลายเป็นคุณพ่อคุณแม่ช้อปแหลก รู้สึกตัวอีกที เงินหายไปหลายสตางค์
นอกจากนั้น อีกพฤติกรรมหนึ่งของการช้อปปิ้งที่หลายคนมักจะเป็น ก็คือ การซื้อของขวัญ-ของฝาก ถ้าครอบครัวกำลังมีปัญหาทางการเงิน การซื้อของฝากใครต่อใครซึ่งเป็นมารยาทอันดีอาจต้องละเว้นไปบ้าง บางท่านซื้อของฝากอย่างเดียวไม่พอ ยังต้องห่อของขวัญ เสียค่าริบบิ้น ค่ากระดาษ ค่าการ์ดอวยพร ซึ่งบอกได้เลยว่าเป็นค่าใช้จ่ายที่ไม่ถูกเลยสำหรับยุคนี้
แต่นั่นไม่ได้หมายความว่า คุณจะต้องกลายเป็นคนแล้งน้ำใจ ไม่คบหาใครเป็นเพื่อน เพราะการให้มีหลายมิติ ลองให้ในสิ่งที่คุณให้ได้แทนการให้สิ่งของ เช่น ให้ความช่วยเหลือ ให้คำปรึกษา หรือหากมีฝีมือด้านการทำอาหาร ทำขนม ก็เปลี่ยนเป็นการทำสิ่งที่ถนัด และมอบให้คนอื่นแทนก็ดีไม่แพ้กันค่ะ
3.ลดค่าใช้จ่ายด้านโทรคมนาคม
หากงานของคุณไม่จำเป็นต้องคุยโทรศัพท์ตลอดเวลา ก็ไม่จำเป็นที่จะต้องเลือกแพกเกจประเภทคุยเหมาจ่ายให้ตัวเอง เพราะมันจะเพิ่มค่าใช้จ่ายให้คุณมากเกินไป หรือถ้าจำเป็นต้องใช้จริงๆ การมองหาตัวช่วย เช่น การให้องค์กร-บริษัทที่ทำงานอยู่ช่วยสนับสนุนค่าโทรศัพท์มือถือก็เป็นทางเลือกที่ดี นอกจากนั้น บริการต่างๆ เช่น อินเทอร์เน็ต ที่บริษัทโทรคมนาคมพากันประโคมว่าจำเป็นต่อชีวิตยุคดิจิตอล (แน่ล่ะ เพราะพวกเขาจะได้มีรายได้ต่อหมายเลขเพิ่มขึ้น) ก็ลองลด ละ เลิกกันดูบ้าง ใช้อินเทอร์เน็ตเฉพาะในที่ทำงานก็น่าจะมากพอแล้ว กลับมาบ้านก็ทำหน้าที่พ่อบ้านแม่บ้านกันดีกว่า
แต่ถ้าจำเป็นจริงๆ หรือบางท่านทำธุรกิจส่วนตัว การเลือกบริการแบบเหมาจ่ายทั้งโทร.ทั้งอินเทอร์เน็ต จัดเต็มกันไปเลยก็เหมาะไม่แพ้กัน เพราะว่าคุณจะได้โทรไม่อั้น แถมไม่ต้องห่วงด้วยว่า บิลเรียกเก็บเงินจะแพงเกินไป
ส่วนลูกๆ ที่ต้องการโทรศัพท์มือถือของตนเองสักเครื่อง คุณอาจต้องสอนให้ลูกบริหารเงินให้ดี และแบ่งเงินค่าขนมส่วนหนึ่งมารับผิดชอบค่าใช้โทรศัพท์ของตนเองด้วยค่ะ และอย่าลืมสอนให้ลูกรู้จักค่าของเงินที่พวกเขายังหาไม่ได้ด้วยนะคะ
4.ลดการใช้บัตรเครดิต
เพราะบัตรเครดิตจะเรียกเก็บตรงเวลา และดอกเบี้ยก็เริ่มทำงานตรงเวลาด้วยเช่นกันค่ะ หากคุณพ่อคุณแม่มีปัญหาเงินเดือนถูกหักนู่นนี่นั่นเยอะแยะ พอเจอใบแจ้งหนี้บัตรเครดิตมาอีกก็ไม่มีจะจ่าย ทีนี้ก็ได้เวลาดอกเบี้ยบัตรเครดิตทำงานสิคะ ดีไม่ดี กลายเป็นหนี้พอกหางหมูไปกันใหญ่
5.มีการออมเงินอย่างสม่ำเสมอ
หากเป็นครอบครัวที่มีวินัยจริงๆ ไม่ว่าอย่างไร เขาก็จะสามารถออมเงินในจำนวนเท่าๆ กันได้ทุกเดือนติดต่อกัน (เพราะเขาจะรู้จักใช้จ่าย และไม่ใช้เงินเกินขีดจำกัดที่ตนเองมี) แต่ถ้าครอบครัวของคุณไม่เป็นเช่นนั้น หรือเดือนนี้เกิดปัญหาด่วน ช็อตจริงๆ ไม่สามารถฝากเงินในจำนวนที่เคยฝากได้ อย่างน้อย ก็เจียดมาสักเล็กน้อยออมไว้ในบัญชีเงินฝากให้มีการเคลื่อนไหว ข้อนี้ดีในแง่กำลังใจ ให้ตนเองฮึดสู้ต่อไปในฐานะมนุษย์เงินเดือนนั่นเองค่ะ อีกหน่อยเวลาคุณมาเปิดสมุดบัญชีเงินฝากย้อนดู เจอรายการฝากเงินของตนเองไม่เคยขาดแม้แต่เดือนเดียว มันก็น่าชื่นใจในสิ่งที่ทำมาใช่ไหมคะ
6.ลดค่าความบันเทิง
หากคุณพ่อมักจะมีนัดชนแก้วกับเพื่อนๆ เป็นประจำ หากคุณแม่ชอบซื้อคอร์สสปา วันหยุดต้องไปเดินห้าง ดูหนังสักเรื่อง กินข้าวกันสักมื้อ ลองเลิกไป เลิกซื้อ ดูสิคะ รับรองเงินเหลือเพียบ ทีมงานรู้จักครอบครัวๆ หนึ่ง ที่มีความสุขได้แม้จะอยู่ที่บ้าน โดยครอบครัวนี้ใช้วิธีทำสุกี้รับประทานกัน ซึ่งไม่ต้องไปถึงร้านสุกี้แต่อย่างใด ใช้วิธีไปตลาดซื้อของสดกลับมานั่งทำกัน ลูกๆ หลานๆ ก็นั่งทำเกี๊ยว ล้างผัก ต้มน้ำซุป รับประทานไปก็เปิดหนังดูด้วยกัน หรือไม่ก็ร้องคาราโอเกะกัน เท่านี้ก็มีความสุขไม่แพ้เดินห้างแต่อย่างใดค่ะ
ขอบคุณที่มา : Manageronline